เหตุการณ์คลื่นความร้อนและไฟไหม้ซึ่งทำให้ราคาอาหารหลักสูงขึ้น ความกังวลเรื่องการขยายตัวของการปลูกพืชน้ำมันซึ่งเบียดเบียนการปลูกพืชกินได้ จนถึงความกังวลเรื่องการขนส่งอาหารกับเทรนด์การเพราะปลูกอาหารด้วยตัวเอง ทั้งหมดนี้คงทำให้หลายคนเห็นว่า “ความมั่นคงทางอาหาร”ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่ไกลจากตัวเราเลย
ความสามารถในการผลิต การเข้าถึง และการใช้ประโยชน์จากอาหาร
คำว่า “ความมั่นคงทางอาหาร” ค่อนข้างจะเป็นคำที่คลุมเครือและเป็นนามธรรม จึงต้องขอยกคำจำกัดความมาจากองค์การอนามัยโลกให้เข้าใจกันก่อน
คำว่า “ความมั่นคงทางอาหาร” ค่อนข้างจะเป็นคำที่คลุมเครือและเป็นนามธรรม จึงต้องขอยกคำจำกัดความมาจากองค์การอนามัยโลกให้เข้าใจกันก่อน
ในการประชุมสุดยอดอาหารโลกเมื่อปี 1996 ได้นิยามคำว่าความมั่นคงทางอาหารไว้ว่า “เป็นภาวะที่ประชากรทุกคนสามารถเข้าถึงอาหารได้อย่างพอเพียง โดยปลอดภัย มีคุณค่าทางโภชนาการและรักษาสุขภาพและชีวิตที่ดีได้ไม่ว่าเวลาใด” โดยทั่วไป หลักของความมั่นคงทางอาหารจะรวมไปถึงทั้งสิทธิทางกายภาพและเศรษฐกิจที่สามารถเข้าถึงอาหารที่ได้ตรงตามความต้องการทางโภชนาการ ขณะเดียวกันก็ต้องเป็นอาหารที่สร้างความพึงพอใจด้วย
นอกจากนี้ ความมั่นคงทางอาหารมีปัจจัยหลัก 3 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ ความสามารถในการหาอาหารมาได้ (มีอาหารอย่างเพียงพอสม่ำเสมอ) การเข้าถึงอาหาร (มีแหล่งทรัพยากรเพียงพอที่จะหาอาหารได้) และการใช้อาหาร (มีความรู้และวิธีการที่จะใช้ประโยชน์จากสารอาหาร รวมทั้งการเข้าถึงแหล่งน้ำและสุขอนามัยอย่างเหมาะสม)
จากเกณฑ์เหล่านี้ การศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้จากเมเปิ้ลครอฟต์ บริษัทที่ปรึกษาความเสี่ยงในอังกฤษ ได้จัดอันดับพื้นที่ที่เสี่ยงภัยขาดแคลนอาหาร (ใครที่ติดตามข่าวอยู่บ้างก็น่าจะสามารถคาดเดาได้) ปรากฏว่าอัฟกานิสถานและพื้นที่ส่วนใหญ่ของแอฟริกาอยู่ในช่วงความเสี่ยงสูงที่สุด ส่วนประเทศร่ำรวยส่วนใหญ่อยู่ในช่วงที่มีความเสี่ยงต่ำ ตามแผนที่นี้
ร่ำรวยและยากจน : ความมั่นคงที่ต่างกัน
ในประเทศที่ร่ำรวยต้องนำเข้าอาหารจากต่างประเทศทางเครื่องบินหรือเรือข้ามน้ำข้ามทะเลกว่าจะมาถึงท้องถิ่น (ในอเมริกาเหนืออาจจะเป็นปัญหานี้มากกว่ายุโรป) การขนส่งทั้งหมดต้องพึ่งพิงพลังงานราคาถูก เข้าถึงได้ และมีปริมาณมหาศาล หากไม่มีปัจจัยเหล่านี้ ความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางอาหารจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก แม้กระทั่งในประเทศยากจนที่ความสามารถในการหาอาหารมาได้ การเข้าถึง และการใช้ประโยชน์จากอาหารไม่ได้เป็นประเด็นปัญหาที่เร่งด่วนนัก แต่ระบบทั้งหมดก็ล้วนขึ้นอยู่กับการใช้พลังงานจำนวนมากอยู่ดี
ส่วนประเทศที่ยากจนปัญหาความมั่นคงทางอาหารจะแตกต่างออกไป ได้แก่ ความสามารถที่จะผลิตอาหารอย่างพอเพียงบนที่ดินด้วยความยั่งยืน การครอบครองที่ดินของเกษตรกร การส่งเสริมให้ใช้สารเคมีหรือเครื่องจักรเพื่อเพิ่มผลผลิตให้ได้เกินระดับที่เหมาะสม มากกว่าจะคำนึงถึงความยั่งยืนทางระบบนิเวศ รายได้เริ่มต้นของประชากรอยู่ในระดับต่ำทำให้ไม่สามารถซื้อหาอาหาร การทุ่มตลาดจากประเทศที่ร่ำรวยที่ตัดกำลังเกษตรกรท้องถิ่นไม่ให้ขายสินค้าได้ ประกอบกับความกดดันที่จะต้องเลือกขายผลผลิตก่อนที่จะเก็บให้ตัวเองได้บริโภคอย่างพอเพียง ซึ่งปัญหาเหล่านี้ก็ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เรื่องที่เชื่อมโยงประเทศร่ำรวยและยากจนไว้ด้วยกันคือ การเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ ปริมาณพลังงาน และการบริโภคน้ำอย่างไม่ยั่งยืนในหลายๆ ประเทศ เหล่านี้จะเพิ่มความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางอาหาร แม้ว่าดูจากตอนนี้ ประเทศร่ำรวยจะมีเงินทุนแก้ปัญหาไปได้ระยะหนึ่ง แต่ประเทศยากจนยังไม่มีแผนแก้ปัญหาได้
ความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศกับเกษตรกรรม
จากข่าวทั้งหลายที่พูดถึงอุณหภูมิที่สูงขึ้น สภาวะทะเลเป็นกรด และรูปแบบปริมาณน้ำฝนที่เปลี่ยนไป แสดงให้เห็นว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบในทางลบ แม้ว่าจะไม่ได้รุนแรงถึงขนาดภัยพิบัติก็ตาม
จากข่าวทั้งหลายที่พูดถึงอุณหภูมิที่สูงขึ้น สภาวะทะเลเป็นกรด และรูปแบบปริมาณน้ำฝนที่เปลี่ยนไป แสดงให้เห็นว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบในทางลบ แม้ว่าจะไม่ได้รุนแรงถึงขนาดภัยพิบัติก็ตาม
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อาทิ
· ข้าวในทวีปเอเชียมีผลผลิตลดลง 10% เมื่ออุณหภูมิโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นทุกๆ 1 องศาเซลเซียสของอุณหภูมิต่ำสุดของวัน
· ไร่ฝ้าย ข้าวโพด และถั่วเหลืองที่สหรัฐอเมริกา ผลผลิตจะลดลง 30-46% ภายใต้ภาวะที่โลกร้อนขึ้นอย่างช้าๆ และลดลง 63-82% หากโลกร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว
· แนวปะการังที่กำลังลดลงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาจทำให้ผลผลิตอาหารในภูมิภาคนี้ลดลงไปถึง 80% ภายในปี 2100 เนื่องจากมหาสมุทรมีสภาวะเป็นกรด
การเข้าถึงแหล่งน้ำและการใช้น้ำ
ปัญหาการเข้าถึงแหล่งน้ำ ส่วนหนึ่งเกิดจากวิธีการใช้น้ำที่ไม่คำนึงถึงความยั่งยืน เนื่องจากเกษตรกรพยายามจะทดน้ำจำนวนมากเพื่อเพิ่มผลผลิต บ้างมาจากสาเหตุที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ทำให้ปริมาณน้ำฝนและหิมะละลายเปลี่ยนไป เช่นเหตุการณ์เหล่านี้
ปัญหาการเข้าถึงแหล่งน้ำ ส่วนหนึ่งเกิดจากวิธีการใช้น้ำที่ไม่คำนึงถึงความยั่งยืน เนื่องจากเกษตรกรพยายามจะทดน้ำจำนวนมากเพื่อเพิ่มผลผลิต บ้างมาจากสาเหตุที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ทำให้ปริมาณน้ำฝนและหิมะละลายเปลี่ยนไป เช่นเหตุการณ์เหล่านี้
· การทดน้ำเพื่อการเกษตรอย่างไม่คำนึงถึงปริมาณในช่วงก่อนฤดูมรสุมที่ประเทศอินเดียส่งผลต่อปริมาณน้ำฝนในฤดูมรสุมลดลงแสดงให้เห็นว่าสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปในทันทีจะยืดเวลาที่ลมมรสุมจะพัดผ่านมหาสมุทร ซึ่งจะทำให้ปริมาณน้ำลดลง
· พฤติกรรมการกินที่เปลี่ยนไปโดยเน้นการกินเนื้อสัตว์มากขึ้น ส่งผลให้ในเอเชียมีการผันน้ำมากขึ้น และปริมาณน้ำลดลง หากไม่มีการจัดการน้ำที่ดี การพัฒนาสุขภาพและโภชนาการก็จะเป็นปัญหา
การขนส่งอาหารของประเทศร่ำรวยล้วนต้องใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
ส่วนประกอบโดยทั่วไปของอาหารในอเมริกาต้องขนส่งข้ามระยะทางมานับพันไมล์ก่อนจะถึงปลายทางบนจานอาหาร แม้ว่าในปัจจุบันจะมีความสนใจเรื่องการบริโภคอาหารท้องถิ่นหรืออาหารอินทรีย์มากขึ้น แต่ความเป็นจริงประชากรจำนวนมากในสหรัฐอเมริกาและประเทศที่ร่ำรวยยังบริโภคอาหารที่ต้องใช้พลังงานฟอสซิลปริมาณมหาศาลในการเพิ่มผลผลิตและการขนส่ง และการผลิตส่วนมากก็กระจุกอยู่ตามภูมิภาคหรือไม่ก็นำเข้าจากประเทศไม่กี่แห่งเท่านั้น
เพิ่มความมั่นคงทางอาหารด้วยการ “ลดใช้พลังงาน ต่อสู้กับภาวะโลกร้อน และการเกษตรแบบยั่งยืน”
วิธีสร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างพื้นฐานที่สุด (แนะนำสำหรับประเทศร่ำรวย)
· บริโภคอาหารที่มาจากหลากหลายแหล่งที่มา ทั้งทางกายภาพและลักษณะการผลิต สนับสนุนสินค้าท้องถิ่น และบริโภคอาหารตามฤดูกาล
· เปลี่ยนจากการกินอาหารที่ต้องใช้พลังงานจำนวนมากในการผลิตมาเป็นกินอาหารอินทรีย์และอาหารที่มีวิธีการผลิตที่ยั่งยืน หลีกเลี่ยงอาหารจากการทำเกษตรที่ต้องใช้พลังงานฟอสซิล (แม้กระทั่งการผลิตอาหารอินทรีย์อย่างไม่คำนึงถึงทรัพยากรที่มีอยู่ก็สร้างความเสี่ยงทางอาหารเช่นกัน)
· ให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาการจัดการน้ำ พิจารณาถึงประเทศที่การเข้าถึงน้ำอยู่ในระดับต่ำ ไม่ว่าที่ใดในโลก
· ลดการใช้พลังงานและการปล่อยของเสียเพื่อป้องกันผลกระทบอันเลวร้ายของสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง
· หันมาใช้การขนส่งที่ใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น