7.18.2554

Raster Map vs Vector Map

Raster Map vs Vector Map
       แผนที่ดิจิตอลในปัจจุบันสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ Raster และ Vector แผนที่กระดาษที่เราสแกนเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์เรียกว่า Raster Map ส่วน Vector Map จะเป็นแผนที่ที่ถูกใช้ใน GPS
องค์ประกอบของ Raster Map ไม่มีอะไรเลยนอกจากพิกเซลที่เรียงประกอบกันเป็นภาพแผนที่      
       คอมพิวเตอร์ของเรารู้จัก Raster Map ก็เพียงจุดสีที่ประกอบกันเป็นภาพเท่านั้น ไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าถนนหนทางในภาพอยู่ตรงไหน หน้าตาเป็นอย่างไร
      ในการสร้าง Vector Map นั้น คอมพิวเตอร์จะยังเห็นภาพแผนที่เป็นตารางพิกเซล โดยกำหนดให้จุด Origin (x = 0, y = 0) ของตาราง (จุดแรกสุดของพิกเซล) อยู่ที่มุมซ้ายบนของภาพแผนที่ เราต้องเข้าไปจิ้มจุด 1, 2, … ,9 เพื่อบอกคอมพิวเตอร์ว่าพิกเซลที่เราจิ้มลงไปนั้นมีพิกัดเท่าใด เมื่อเราจิ้มบอกพิกัดได้สองจุดขึ้นไปแล้ว คอมพิวเตอร์จะสามารถคำนวนพิกัดของพิกเซลอื่นได้โดยอัตโนมัติ
       Vector Map ใช้จุดและเส้นตรงในการโยงจุดเพื่อแสดงภาพแผนที่ โดยฝังข้อมูลของพิกัดเข้าไปในจุดแต่ละจุด พร้อมคำสั่งในการลำดับการโยงจุด เพื่อสื่อถึงองค์ประกอบทุกตัว (Map Objects) ที่รวมกันเป็นภาพแผนที่ เนื่องจากเราสามารถฝังป้ายชื่อ (Label) เข้าไปในทุก Object ของ Vector Map ได้ เราจึงไม่จำเป็นต้องพึ่งจุดสีในแต่ละพิกเซลในการแสดงชื่อดังเช่นใน Raster Map ทำให้การขยายหรือย่อขนาด Vector Map ทำได้โดยไร้ขีดจำกัด ที่สำคัญคือภาพไม่แตก ไม่เหมือนกับการขยายภาพตามปกติ ที่เมื่อขยายจนถึงจุดๆหนึ่งแล้ว ภาพจะแตกหยาบ จนดูไม่ออกว่าเป็นภาพอะไร
<<Raster Map

<< Vector Map

        ในภาพเป็นการเปรียบเทียบ Raster กับ Vector Map … Vector Map ใช้จุดเพียงเจ็ดร้อยกว่าจุดเท่านั้นในการแสดงถนนหนทางของพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ทั้งหมด ในขณะที่ Raster Map ขนาดย่อดังในรูปยังแทบใช้ประโยชน์ในการนำทางไม่ได้เลยเจ็ดร้อยกว่าจุดที่ว่านี้เอง ก็คือฉากหลังทั้งหมดของแผนที่เกาะรัตนโกสินทร์ ที่พร้อมใช้ในเครื่องจีพีเอสและเครื่องเนวิเกเตอร์ ดังนั้นจะเห็นได้ว่า Vector Map ที่มีข้อมูลเพียงจุดพิกัด ข้อมูลในการโยงจุด และข้อมูลในการ Label ใช้ทรัพยากรของเครื่องจีพีเอสน้อยกว่ามาก ไฟล์แผนที่ที่เป็น Raster จะใหญ่กว่า Vector บางทีอาจใหญ่กว่า 50-200 เท่าขึ้นไปทีเดียว
     
      จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่า ระบบนำทางรถยนต์ หรือเนวิเกเตอร์ ก็คือการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี GPS ในรูปแบบหนึ่ง เป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างเทคโนโลยี GPS กับเทคโนโลยีแผนที่ หมายความว่าระบบจะฉลาดมากหรือน้อยนั้น ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับแผนที่ว่ามีความละเอียดและความถูกต้องในการกำหนดค่าพิกัดของจุดต่างๆบนแผนที่ เช่น ถนน, อาคาร, ทางแยก ฯลฯ มากน้อยเพียงไร
ใช้ได้จริงหรือ??? เนื่องจากระบบเนวิเกชั่นจะใช้ข้อมูล 2 ส่วนร่วมในการประมวลผล ข้อมูลแผนที่ประเทศไทยแบบดิจิตอลจะถูกเก็บไว้ในแบล็คบ็อกซ์ ส่วนข้อมูลจีพีเอสจะรับมาจากดาวเทียมแบบเรียลไทม์ ซึ่งเป็นการสื่อสารแบบไร้สายระหว่างแบล็คบ็อกซ์กับดาวเทียมที่ส่งสัญญาณมาจากอวกาศ ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศไทย แม้แต่ในพื้นที่ทุรกันดาร การประมวลผลจะเกิดขึ้นภายในแบล็คบ็อกซึ่งถูกติดตั้งไว้ในรถทุกคันแบบ 1 : 1 และแสดงผลไปยังจอภาพซึ่งก็อยู่ภายในรถแต่ละคันนั่นเอง

      จะเห็นว่าการสื่อสารจะเกิดขึ้นระหว่างแบล็คบ็อกซ์กับดาวเทียมเท่านั้น ไม่มีการสื่อสารทางภาคพื้นดิน หรือการสื่อสารระหว่างรถยนต์แต่ละคันหรือการสื่อสารระหว่างรถกับศูนย์รับสัญญาณดาวเทียมแต่อย่างใดทำให้ไม่มีความจำเป็นสำหรับเครือข่ายภาคพื้นดินเหมือนอย่างโทรศัพท์มือถือดาวเทียมมีใช้งานมานานแล้ว แบล็คบ็อกซ์มีแล้ว ข้อมูลแผนที่ก็มีแล้ว นั่นหมายความว่าระบบนำทางรถยนต์ หรือระบบเนวิเกชั่น นั้น สามารถนำมาใช้งานจริงได้แน่นอน
ขอขอบคุณ:http://www.pharm.chula.ac.th/webelarning/elearning%20Computer53/com-project/raster_vs_vector_map.html


7.09.2554

ความมั่นคงทางอาหาร โลกร้อน พลังงาน แหล่งน้ำ : ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องเดียวกัน

  


เหตุการณ์คลื่นความร้อนและไฟไหม้ซึ่งทำให้ราคาอาหารหลักสูงขึ้น ความกังวลเรื่องการขยายตัวของการปลูกพืชน้ำมันซึ่งเบียดเบียนการปลูกพืชกินได้ จนถึงความกังวลเรื่องการขนส่งอาหารกับเทรนด์การเพราะปลูกอาหารด้วยตัวเอง ทั้งหมดนี้คงทำให้หลายคนเห็นว่าความมั่นคงทางอาหารล้วนเป็นเรื่องที่ไม่ไกลจากตัวเราเลย
ความสามารถในการผลิต การเข้าถึง และการใช้ประโยชน์จากอาหาร
คำว่าความมั่นคงทางอาหาร” ค่อนข้างจะเป็นคำที่คลุมเครือและเป็นนามธรรม จึงต้องขอยกคำจำกัดความมาจากองค์การอนามัยโลกให้เข้าใจกันก่อน
ในการประชุมสุดยอดอาหารโลกเมื่อปี 1996 ได้นิยามคำว่าความมั่นคงทางอาหารไว้ว่า เป็นภาวะที่ประชากรทุกคนสามารถเข้าถึงอาหารได้อย่างพอเพียง โดยปลอดภัย มีคุณค่าทางโภชนาการและรักษาสุขภาพและชีวิตที่ดีได้ไม่ว่าเวลาใด โดยทั่วไป หลักของความมั่นคงทางอาหารจะรวมไปถึงทั้งสิทธิทางกายภาพและเศรษฐกิจที่สามารถเข้าถึงอาหารที่ได้ตรงตามความต้องการทางโภชนาการ ขณะเดียวกันก็ต้องเป็นอาหารที่สร้างความพึงพอใจด้วย
นอกจากนี้ ความมั่นคงทางอาหารมีปัจจัยหลัก 3 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ ความสามารถในการหาอาหารมาได้ (มีอาหารอย่างเพียงพอสม่ำเสมอ) การเข้าถึงอาหาร (มีแหล่งทรัพยากรเพียงพอที่จะหาอาหารได้) และการใช้อาหาร (มีความรู้และวิธีการที่จะใช้ประโยชน์จากสารอาหาร รวมทั้งการเข้าถึงแหล่งน้ำและสุขอนามัยอย่างเหมาะสม)
จากเกณฑ์เหล่านี้ การศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้จากเมเปิ้ลครอฟต์ บริษัทที่ปรึกษาความเสี่ยงในอังกฤษ ได้จัดอันดับพื้นที่ที่เสี่ยงภัยขาดแคลนอาหาร (ใครที่ติดตามข่าวอยู่บ้างก็น่าจะสามารถคาดเดาได้) ปรากฏว่าอัฟกานิสถานและพื้นที่ส่วนใหญ่ของแอฟริกาอยู่ในช่วงความเสี่ยงสูงที่สุด ส่วนประเทศร่ำรวยส่วนใหญ่อยู่ในช่วงที่มีความเสี่ยงต่ำ ตามแผนที่นี้

ร่ำรวยและยากจน : ความมั่นคงที่ต่างกัน
 ในประเทศที่ร่ำรวยต้องนำเข้าอาหารจากต่างประเทศทางเครื่องบินหรือเรือข้ามน้ำข้ามทะเลกว่าจะมาถึงท้องถิ่น (ในอเมริกาเหนืออาจจะเป็นปัญหานี้มากกว่ายุโรป) การขนส่งทั้งหมดต้องพึ่งพิงพลังงานราคาถูก เข้าถึงได้ และมีปริมาณมหาศาล หากไม่มีปัจจัยเหล่านี้ ความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางอาหารจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก แม้กระทั่งในประเทศยากจนที่ความสามารถในการหาอาหารมาได้ การเข้าถึง และการใช้ประโยชน์จากอาหารไม่ได้เป็นประเด็นปัญหาที่เร่งด่วนนัก แต่ระบบทั้งหมดก็ล้วนขึ้นอยู่กับการใช้พลังงานจำนวนมากอยู่ดี
 ส่วนประเทศที่ยากจนปัญหาความมั่นคงทางอาหารจะแตกต่างออกไป ได้แก่ ความสามารถที่จะผลิตอาหารอย่างพอเพียงบนที่ดินด้วยความยั่งยืน การครอบครองที่ดินของเกษตรกร การส่งเสริมให้ใช้สารเคมีหรือเครื่องจักรเพื่อเพิ่มผลผลิตให้ได้เกินระดับที่เหมาะสม มากกว่าจะคำนึงถึงความยั่งยืนทางระบบนิเวศ รายได้เริ่มต้นของประชากรอยู่ในระดับต่ำทำให้ไม่สามารถซื้อหาอาหาร การทุ่มตลาดจากประเทศที่ร่ำรวยที่ตัดกำลังเกษตรกรท้องถิ่นไม่ให้ขายสินค้าได้ ประกอบกับความกดดันที่จะต้องเลือกขายผลผลิตก่อนที่จะเก็บให้ตัวเองได้บริโภคอย่างพอเพียง ซึ่งปัญหาเหล่านี้ก็ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เรื่องที่เชื่อมโยงประเทศร่ำรวยและยากจนไว้ด้วยกันคือ การเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ ปริมาณพลังงาน และการบริโภคน้ำอย่างไม่ยั่งยืนในหลายๆ ประเทศ เหล่านี้จะเพิ่มความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางอาหาร แม้ว่าดูจากตอนนี้ ประเทศร่ำรวยจะมีเงินทุนแก้ปัญหาไปได้ระยะหนึ่ง แต่ประเทศยากจนยังไม่มีแผนแก้ปัญหาได้
ความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศกับเกษตรกรรม
จากข่าวทั้งหลายที่พูดถึงอุณหภูมิที่สูงขึ้น สภาวะทะเลเป็นกรด และรูปแบบปริมาณน้ำฝนที่เปลี่ยนไป แสดงให้เห็นว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบในทางลบ แม้ว่าจะไม่ได้รุนแรงถึงขนาดภัยพิบัติก็ตาม
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อาทิ
·         ข้าวในทวีปเอเชียมีผลผลิตลดลง 10% เมื่ออุณหภูมิโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นทุกๆ 1 องศาเซลเซียสของอุณหภูมิต่ำสุดของวัน
·         ไร่ฝ้าย ข้าวโพด และถั่วเหลืองที่สหรัฐอเมริกา ผลผลิตจะลดลง 30-46% ภายใต้ภาวะที่โลกร้อนขึ้นอย่างช้าๆ และลดลง 63-82% หากโลกร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว
·         แนวปะการังที่กำลังลดลงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาจทำให้ผลผลิตอาหารในภูมิภาคนี้ลดลงไปถึง 80% ภายในปี 2100 เนื่องจากมหาสมุทรมีสภาวะเป็นกรด
  
การเข้าถึงแหล่งน้ำและการใช้น้ำ
       ปัญหาการเข้าถึงแหล่งน้ำ ส่วนหนึ่งเกิดจากวิธีการใช้น้ำที่ไม่คำนึงถึงความยั่งยืน เนื่องจากเกษตรกรพยายามจะทดน้ำจำนวนมากเพื่อเพิ่มผลผลิต บ้างมาจากสาเหตุที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ทำให้ปริมาณน้ำฝนและหิมะละลายเปลี่ยนไป เช่นเหตุการณ์เหล่านี้
·         การทดน้ำเพื่อการเกษตรอย่างไม่คำนึงถึงปริมาณในช่วงก่อนฤดูมรสุมที่ประเทศอินเดียส่งผลต่อปริมาณน้ำฝนในฤดูมรสุมลดลงแสดงให้เห็นว่าสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปในทันทีจะยืดเวลาที่ลมมรสุมจะพัดผ่านมหาสมุทร ซึ่งจะทำให้ปริมาณน้ำลดลง
·         พฤติกรรมการกินที่เปลี่ยนไปโดยเน้นการกินเนื้อสัตว์มากขึ้น ส่งผลให้ในเอเชียมีการผันน้ำมากขึ้น และปริมาณน้ำลดลง หากไม่มีการจัดการน้ำที่ดี การพัฒนาสุขภาพและโภชนาการก็จะเป็นปัญหา
      
 การขนส่งอาหารของประเทศร่ำรวยล้วนต้องใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
         ส่วนประกอบโดยทั่วไปของอาหารในอเมริกาต้องขนส่งข้ามระยะทางมานับพันไมล์ก่อนจะถึงปลายทางบนจานอาหาร แม้ว่าในปัจจุบันจะมีความสนใจเรื่องการบริโภคอาหารท้องถิ่นหรืออาหารอินทรีย์มากขึ้น แต่ความเป็นจริงประชากรจำนวนมากในสหรัฐอเมริกาและประเทศที่ร่ำรวยยังบริโภคอาหารที่ต้องใช้พลังงานฟอสซิลปริมาณมหาศาลในการเพิ่มผลผลิตและการขนส่ง และการผลิตส่วนมากก็กระจุกอยู่ตามภูมิภาคหรือไม่ก็นำเข้าจากประเทศไม่กี่แห่งเท่านั้น
 เพิ่มความมั่นคงทางอาหารด้วยการลดใช้พลังงาน ต่อสู้กับภาวะโลกร้อน และการเกษตรแบบยั่งยืน
วิธีสร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างพื้นฐานที่สุด (แนะนำสำหรับประเทศร่ำรวย)
·         บริโภคอาหารที่มาจากหลากหลายแหล่งที่มา ทั้งทางกายภาพและลักษณะการผลิต สนับสนุนสินค้าท้องถิ่น และบริโภคอาหารตามฤดูกาล
 
·         เปลี่ยนจากการกินอาหารที่ต้องใช้พลังงานจำนวนมากในการผลิตมาเป็นกินอาหารอินทรีย์และอาหารที่มีวิธีการผลิตที่ยั่งยืน หลีกเลี่ยงอาหารจากการทำเกษตรที่ต้องใช้พลังงานฟอสซิล (แม้กระทั่งการผลิตอาหารอินทรีย์อย่างไม่คำนึงถึงทรัพยากรที่มีอยู่ก็สร้างความเสี่ยงทางอาหารเช่นกัน)
 
·         ให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาการจัดการน้ำ พิจารณาถึงประเทศที่การเข้าถึงน้ำอยู่ในระดับต่ำ ไม่ว่าที่ใดในโลก
 
·         ลดการใช้พลังงานและการปล่อยของเสียเพื่อป้องกันผลกระทบอันเลวร้ายของสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง
 
·         หันมาใช้การขนส่งที่ใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น

อาชญากรเขย่าวงการสิ่งแวดล้อม เมื่อคาร์บอนเครดิตถูกขโมย

                


          เมื่อไม่กี่เดือนก่อน มีข่าวการขโมยคาร์บอนเครดิตมูลค่ากว่าเจ็ดล้านยูโรจากตลาดออนไลน์ ไม่รู้ว่าจะสะเทือนขวัญหรือขำดีกับเหตุการณ์โจรกรรมระดับข้ามชาติหนนี้
คาร์บอนเครดิตก็คือการซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตามข้อตกลงในพิธีสารเกียวโต  ซึ่งใบอนุญาตปล่อยก๊าซและคาร์บอนเครดิตนี้สามารถซื้อขายกันได้ เพื่อเป็นแรงจูงใจทางการเงินในการลดการปล่อยก๊าซ โดยกลุ่มประเทศพัฒนาจะสามารถปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ตามที่ได้รับอนุญาต ถ้าหากต้องการปล่อยมากกว่านั้น จะต้องซื้อคาร์บอนเครดิตจากผู้อื่น
           เหตุเกิดเมื่อบริษัทแบล็คสโตนโกลบอลเวนเจรอ์ส เทรดเดอร์ด้านใบอนุญาตปล่อยก๊าซคาร์บอนในสาธารณรัฐเช็ก ออกมาประกาศว่า มีผู้แฮ็กเข้าไปในระบบลงทะเบียนและขโมยคาร์บอนเครดิตออกไป 475,000 ตัน มีมูลค่าสูงถึงเจ็ดล้านยูโร (ประมาณ 300 ล้านบาท)
            จากข้อมูลของพอยท์คาร์บอน ผู้ให้บริการข่าวตลาดพลังงานและคาร์บอน ระบุว่า ภายในไม่กี่ชั่วโมง คาร์บอนเครดิตที่ถูกขโมยไปก็ถูกโอนย้ายผ่านบัญชีที่จดทะเบียนในโปแลนด์ เอสโตเนียและลิกเทนท์สไตน์ ซึ่งคณะกรรมาธิการยุโรปที่ดูแลตลาดคาร์บอน กล่าวว่า  การลงมือครั้งนี้มีการวางแผนอย่างดี เจ้าหน้าที่บางบริษัทหรือสำนักงานขึ้นทะเบียนอาจมีส่วนเกี่ยวข้องก็เป็นได้



        ผู้เกี่ยวข้องพยายามแก้ปัญหาด้วยการระงับการซื้อขายในตลาดออนไลน์จาก 27 ชาตินานถึงหนึ่งสัปดาห์ และทำให้ประเทศสมาชิกอียู 14 ประเทศ (จากทั้งหมด 27 ประเทศ) ออกมาเรียกร้องว่าธนาคารควรแก้ไขปรับปรุงระบบความปลอดภัยออนไลน์ใหม่
        แม้กลุ่มอียูถือเป็นระบบการซื้อขายคาร์บอนเครดิตนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่กลับเจอปัญหาเรื่องความปลอดภัยซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อปีที่แล้ว มีอีเมล์หลายฉบับส่งมาหลอกขอรหัสผ่านจากเจ้าของบัญชี คล้ายกับการ หลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตเช่น หลอกขอข้อมูลบัตรเครดิต สร้างความเดือดร้อนให้หลายประเทศ
         ยังไม่นับรวมกรณีเมื่อปลายปีที่ผ่านมา คาร์บอนเครดิต 1.6 ล้านตันถูกขโมยจากบัญชีบริษัทผู้ผลิตซีเมนต์ชื่อ โฮลซิม จากระบบทะเบียนแห่งชาติของโรมาเนีย และเมื่อเดือนที่ผ่านมาก็มีคนพยายามแฮ็กข้อมูลในระบบของประเทศออสเตรียอีกด้วย เหตุการณ์ทั้งหลายสะท้อนถึงระบบรักษาความปลอดภัยออนไลน์ที่ยังหละหลวม ทำให้เหล่าแฮ็กเกอร์เข้าถึงข้อมูลสำคัญได้
        ทั้งนี้ ตำรวจสหภาพยุโรปประมาณมูลค่าความเสียหายอาชญากรรมคาร์บอนเครดิตในปี 2008 และ 2009 ว่ามีมูลค่าถึงห้าล้านยูโร หลายฝ่ายให้ความเห็นว่า นักขโมยพยายามจะบั่นทอนความเชื่อมั่นของตลาดคาร์บอนในยุโรป ซึ่งจะส่งผลกระทบในวงกว้าง เพราะตลาดของยุโรปจะเป็นต้นแบบของตลาดคาร์บอนในระดับโลก ทั้งอเมริกา ออสเตรเลีย และเอเชีย อย่างจีนและญี่ปุ่น